7/2/59

น้ำคือชีวิต


ที่ดินแปลงแรกที่มีบ่อน้ำเป็นอันว่าซื้อขายไม่ได้  เพราะเป็นที่ดินแนวกันไฟภูเขา...อดไป
ไม่เป็นไร...ขยับมาแปลงติดกันก็แล้วกัน...ยังไงก็ได้วิวเดิม โชคดีเสียอีก ที่มารู้ทีหลังว่า

1. ที่ดินริมเขาเป็นที่ต่ำน้ำจะหลากขังท่วมช่วงหน้าฝน เค้าจึงขุดบ่อเก็บน้ำไว้ทำการเกษตรแต่ดั่งเดิม
2. เนื่องจากเป็นที่ดินแนวกันไฟ ห้ามซื้อขาย ก็คงไม่มีใครมาปลูกบ้านในแปลงนี้แน่นอน

ข้อเสีย :

เนื่องจากน้ำคือชีวิต  เราต้องลงทุนขุดบ่อเก็บน้ำไว้อีกบ่อในที่แปลงใหม่นี้  ขนาดเท่าไรดี ?
ใหญ่ไว้ก่อนแล้วกัน...สักไร่นึงก็แล้วกัน   ที่สำคัญคือต้องขุดให้ทันฝนนี้จะได้เก็บน้ำได้ทันทีแล้วคอยลุ้นว่าที่ดินแถวนี้เก็บน้ำได้ไหม?  ซึมรั่วไหม?  ถ้าโชคดีก็ไม่ต้องเสียเงินรอบสองเพื่อปูพลาสติครองบ่ออีก

เคล็ดลับชาวบ้าน :

ให้หาขี้วัวมาโรยพื้นสระทุกๆปี  จะช่วยอุดรอยรั่วของบ่อได้และยังช่วยให้น้ำมีแหล่งอาหาร สำหรับระบบนิเวศน์ด้วย ( ฉลาดจริง )  และน้ำแถวนี้เวลาหน้าน้ำหลากจากเขาจะเป็นสีโอวัลตินแบบนี้สักพัก   แต่ปลอดภัยเพราะ ไม่มีสารพิษจากโรงงานแน่นอน  ส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าวโพด และถ้าอยากให้น้ำใสเร็วขึ้นก็ให้ผสมน้ำหมักEMใส่บ่อเข้าไปเลย  ทำให้มีจุลินทรีย์และเพิ่มO2ในน้ำอีกด้วย...น้ำใสสวยทันหน้าหนาวพอดี

สรุปผล:

บ่อสามารถเก็บน้ำได้ดี  งบประมาณในการขุดบ่อลึก 3 เมตรกว่า ขนาดประมาณ 3 งาน
คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 150,000 บาทถ้วน

การขุดบ่อบาดาล - ช่างแกละ ช่างท้องถิ่น...ผู้รู้จักพื้นที่แถบนี้ดีที่สุดก็รีบเข้ามาตรวจพื้นที่  และดำเนินการขุดเจาะอย่างมืออาชีพ ใช้เวลา 3 วัน , ขุดลึก 35 เมตร...งานสำเร็จใช้งบไปอีก 60,000 บาท
( เป็นค่า Submerge pump ซะสองหมื่นบาท )  เฮ้อ...นี่แหละ "น้ำคือชีวิต"



   


ราวๆ 48 เดือนที่ผ่านมา

" บางคนเกิดมาเพื่อเงิน , บ้างก็เพื่อชื่อเสียง , บ้างก็เพื่อความตื่นเต้นในชีวิต "

สำหรับตัวเองน่าจะอยู่ในประเภทที่ 3 ...ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากจะต้องพิสูจน์อะไรๆด้วยตัวเองอยู่ตลอด ไม่ค่อยเชื่ออะไรใครหรอก  มันทำให้ชีวิตตื่นเต้นและท้าทาย สร้างปัญหาให้ตัวเองดีแท้หนอ



สมมุติฐานที่ 1

ถ้าเราย้ายออกไปใช้ชีวิตเป็นชาวสวน ลองใช้ชีวิตรูปแบบพอเพียง มันจะอยู่ได้ไหม มันจะเพียงพอจริงหรือ? สำหรับมนุษย์กล่อง คนกรุงที่ยึดติดกับความสะดวกสบายที่ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน... แบบเราๆเนี๊ยนะ?

" เออน่า..ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก ค่อยๆลองไปน่า ... ช้าๆทำไปเรื่อยๆ ไม่ใช่อยู่ประจำสักหน่อย " 
  คิดเอง..เออเองไปอีก มั่นใจไม่ปรึกษาใครหรอก


ความคิดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  คือหลังจาก

                   1. ผ่านเหตุการณ์ติดเกาะสมุยอยู่ 5 วัน...สถานะการณ์คือ พายุเข้า-ทางขาด-น้ำมันหมดเกาะ-ไฟฟ้าดับ-อาหารหมด ฯลฯ...ประสพการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ
                   2. ตามด้วยน้ำท่วมใหญ่ กทม. เราต่างก็มีประสพการณ์กันถ้วนหน้า
                   3. งานปารตี้ปีใหม่ ที่เหล่า CEO เหล่าผู้บริหาร,นักคิดทั้งหลาย มะรุมมะตุ้มจุดเตาถ่านเพื่อจะย่างสเต็กวากิวบินตรงมาจากญี่ปุ่น  ใช้เวลาร่วมชั่วโมงก็ไม่สำเร็จ มันทำให้คิดได้บ้างอย่างนะ ถ้าน้ำท่วมโลกใกล้แตก จราจล... ฯลฯ    แล้วต้องอพยพไปอยู่ป่าเขาเนี่ย เวลาที่เงินเป็นแค่เศษกระดาษ 
ไอ้พวกคนกรุงเราๆตายก่อน  ที่เหลือเป็นชาวบ้าน ตาสี ตาสา ที่รอดแหง ? การคัดสรรของธรรมชาติ

" ทำไปเฮอะ...สมมุติว่าเบื่อแล้วก็คงจะฉลาดขึ้น  อย่างน้อยก็มี Supermarket ...มีผัก ผลไม้ หมู เห็ด    เป็ด ไก่ ไว้ให้ลูกหลานในอนาคต  และจะได้มีกิจกรรมกับลูกๆ หลานๆด้วย  จะได้ไม่ติดอยู่ในสังคมก้ม  หน้ามากเกินไป "  
 คิดบวก...เข้าข้างตัวเองอีกแล้ว 

เริ่มโครงการเมื่อไร?
ราว 48 เดือนที่ผ่านมา สุ่มหาที่ดินอยู่พักใหญ่จนในที่สุดก็พบที่ดินในฝัน...ราคาไม่แพงนัก
อยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยยังไม่มีบ้านสักหลัง ไม่มีทั้งน้ำ และไฟฟ้า ต้องจัดการเอง ถนนก็เป็นลูกลังดินแดง
แต่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไร?  ซึ่งถ้าเลือกที่ดินจัดสรร...คงมีน้ำมีไฟพร้อมราคาคงแพงขึ้นไปอีก และคงจะมีเพื่อนบ้านอยากรู้อยากเห็นอีกมาก  ซึ่งอารมณ์คงไม่ต่างจากอยู่กรุงเทพฯเท่าไรนัก  

ต่อมาก็เริ่มอ่านศึกษาทฤษฎีในหลวง และการทำเกษตรพอเพียง ต่างๆนานา ฯลฯ
เพื่อเก็บข้อมูลและเริ่มออกแบบโครงการ ,  สุ่ม4สุ่ม5 ลองผิดลองถูก...ลุยไปเลย คิดตามประสาคนกรุง...ชีวิตติดจรวด



Perfecto! ที่ดินริมเขา , มีบ่อน้ำ และต้นไม้ใหญ่ ราคาสมเหตุสมผล, ใกล้กรุงเทพฯ..น้ำไม่ท่วมแน่