" ศาลพระภูมิ"," ความงมงาย "," ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ "
ช่วงสักประมาณตี 2 ได้..เห็นผู้เฒ่าแก่มากๆ เดินสำรวจที่ดินรอบๆบ้าน..ลักษณะผอมเกร็ง..ไว้หนวดยาว..ประมาณนึง บางคืนก็เดินมาหาช่างที่แคมป์คนงาน..มาบอกว่า "อยากทานหัวหมู"
และเทียวไปเทียวมาบอกในคืนต่อๆ อีกหลายคืน
นั้นคือคำบอกเล่าของช่างที่นำมาเล่าให้ " ลุงมัน กับ ป้านาง " ฟัง
หลังจากนั้นอีกไม่กี่คืน..ป้านางก็ฝันเห็นผู้เฒ่าคนนี้อีก และนำความมาเล่าต่อให้เราฟัง
ประนึงว่ากลัว , ไม่มั่นใจในชีวิต ฯลฯ
" งานเข้าแล้วเรา "
เราเริ่มคิดว่าไอ้ช่างเนี่ย...มันต้องอยากกินหมูย่างที่ขายหน้าซอย จนฝันเป็นตุเป็นตะทุกคืนแน่
หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ ได้มีโอกาสเจอ ท่านอาจารย์ที่ไปทำพิธีศาลที่ภูเก็ต เราก็ได้ถามไถ่ท่านอาจารย์ ได้ความว่า แถวๆ"บ้านไร่พอเพียง" มีเจ้าที่เป็นงูใหญ่ ( ไม่ยักจะใช่ชายแก่ คงแปลงร่างได้.. )
แต่เราไม่ได้บอกแกหรอกว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน
วันต่อมาเรากลับมาที่บ้านไร่..แวะสั่งอาหารหน้าซอย ถามเจ้าของร้านอาหารว่า
ซื้อศาลที่ไหน , ศาลบูชาใคร , อะไร , ที่ไหน..ถามเป็นชุดเลย ?..แกบอกว่า
" เป็นศาลบูชาเจ้าที่..ซึ่งเป็นศาลงู แถวพญาเย็นนี้สมัยก่อนเป็นดงงู "
แต่เราไม่ได้บอกเจ้าของร้านเรื่องที่ท่านอาจารย์บอกหรอก แต่แปลกใจในเรื่องที่มันบังเอิญฟังดูคล้ายๆกัน
ถึงบ้านเล่าให้ "ป้านาง" เจ้าของความฝันฟัง..แกยิ่งคล้อยตามใหญ่ ไม่เป็นอันจะทำอะไร!
เรานอนพักสักคืนสักคืน ตื่นเช้ามาใจอ่อนบอกป้าไปว่าจะสร้างศาลพระภูมิให้ก็ได้
" ป้านาง และ ลุงมัน " ดีใจกันยกใหญ่ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อแม้ว่า
" ถ้ามีศาลก็ต้องถวายอาหาร ดอกไม้ น้ำ..ทุกวันพระด้วยนะ และที่สำคัญต้องเก็บไข่ไก่ที่บ้านถวายด้วย และต้องขอให้เจ้าที่ดูแลไก่ไข่เราด้วย ไม่ส่งงูเหลือมมานะ..เราจะได้มีไข่ถวายตลอดไง ! "
เท่านั้นแหละ.. แกก็เป็นปลื้มจนสุดบรรยาย
ถามว่าเราเชื่อไหม ?..เราคิดว่าส่วนตัวแล้วจะเชื่อไม่เชื่อไม่รู้สินะ ( นึกไม่ออก ++ )
แต่รู้ว่านับถือพุทธศาสนานะ แต่ไม่เคยเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรม หรือ เวียนเทียนหรอก ฯลฯ
( ส่วนใหญ่ไปวัดพอเป็นพิธี..ส่วนใหญ่จะเป็นพิธีศพ...ซะมากกว่า )
ทำไงได้ ! คนเมืองสมัยใหม่ , เรียนสูง , ไม่เคยว่าง , ทำแต่งาน-ใช้แต่เงิน
( เรียกว่านับถือศาสนา เงิน ดีกว่ามั๊ง..ขายหน้าจริง )
ถามว่าดึกๆกลัวมีใครมาหาไหม ?..บอกจริงๆว่าคงกลัวมั๊ง.! ( กลัวคนมากกว่าหน่อย ! )
แต่มันไม่เคยมีเกิดอะไรขึ้นหรอก เพราะพอตกค่ำ...มึนนิดๆ ก็หลับสบายทุกคืนแล้ว
ไม่เคยเปิดประตูให้ใครมาเข้าฝันหรอก..และเค้าคงรู้แหละว่าเราเป็นที่พึ่งไม่ได้หรอก ( ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย )
แต่ประเด็นมันไม่ใช้ที่เราหรอก
คนที่เขาต้องอยู่เฝ้าบ้านทุกวัน ทุกคืนมากกว่าที่ต้องการ มันทำให้เขาสบายใจ มั่นใจ
ชีวิตเราก็หมดปัญหาไปด้วย สรุปฝันธง...ตั้งศาลก็ตั้ง
( เห็นไหม..ยังไม่พอเพียงอยู่ดี )
 |
พิธีตั้งศาล " บ้านไร่พอเพียง " |
สรุปได้สักที..สมาชิก"บ้านไร่พอเพียง"
จากบนลงล่าง และ จากซ้ายไปขวา
- แถวบนสุด = ตัวเราเอง , ป้านาง และ ลุงมัน ( คนท้องถิ่น ) , โกโก้
- แถวกลาง = บัคกี้ , ดีโน่ , หมีน้อย
- แถวล่าง = ลูกน้ำ , กิ๊บ และ ก๊าบ , ขวัญ เรียม และ ครอบครัว
ลุงมัน และ ป้านาง เป็นเจ้าบ้าน ส่วนเรานั้นเป็นผู้สังเกตุการณ์ , ผู้ทดลอง และ จดบันทึกผลการทดลอง
หัวข้อ " ชีวิตพอเพียงมีจริงหรือ ? "
ลุงมัน ดูแลพนักงานแจกจ่ายอาหาร และ ดูแลสุขภาพพนักงาน,ทดลองปลูกและดูแลสวนผักและไม้ผลต่างๆ ส่วน ป้านาง ดูแลความสะอาดส่วนบ้านพัก และ ดูแลกระต่ายยักษ์
" จะว่าไป..ทุกชีวิตที่นี่คือ หนูทดลอง รวมทั้งตัวเราด้วยแหละ "
พนักงานแผนกต่างๆ
- ด้านความปลอดภัย...ห่าน " กิ๊บและก๊าบ " เฝ้าระวังงู และ ลาดตระเวนรอบคอกไก่ไข่ นอกจากนี้ก็มีสุนัข " หมีน้อย , ลูกน้ำ , ข้าวปุ้น " ดูแลพื้นที่บริเวณบ้านพัก , สวนกระต่าย และ รอบๆบ้าน
- ด้านอาหารการกิน...ฝูงไก่ไข่ 20 ตัว มีหน้าที่ผลิตอาหารไข่ออแกนิค
- ด้านการเงิน...กระต่ายยักษ์ มีหน้าที่ผลิตลูก หลาน เข้าตลาดสัตว์เลี้ยงน่ารัก
- ด้านบันเทิง...นก " ขวัญกับเรียม " มีหน้าขับร้องเสียงประสานให้ความเพลิดเพลิน
ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพนะ
ปัญหา"การสื่อสาร"
คนเราเกิดมาพร้อมกับคำว่า " ทุกข์ " ถ้วนหน้า
ยิ่งเรียนมาก ( 10 - 25 ปี / 1 ชาติ )
ยิ่งรู้มาก...อิสระภาพลดลงๆเรื่อยๆ...กรอบ กฎเกณฑ์ ต่างๆ...ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายทั้งชีวิตดิ้นกันไปเพื่อให้หลุดจากบ่วงอะไรก็ไม่รู้...ที่ถูกสอนกันมานี้แหละ++
" เพื่อความอยู่รอดมั๊ง "
เราคือมนุษย์กล่อง..ชีวิตอยู่ในกล่องสีเหลี่ยมรูปทรงเรขาคณิตที่เราคิดว่าสวยมาตลอด
ไม่ได้ซาบซึ้งธรรมชาติใดๆหรอก
ชีวิตแข็งกระด้างของเรา...ได้แต่ชื่นชม อิฐ หิน ปูน ทราย อะไรเทือกนี้
ทำอะไรก็ต้องรวดเร็วเข้าเป้า..ปิดงาน..ออกรอบ..เที่ยว..ดริงค์ ฯลฯ
( ชีวิต..การใช้สมองเนี่ยมันช่างเหนื่อยจริง )
พอมาอยู่นี่ก็ติดนิสัยเดิม..สั่ง ๆ ๆ อยู่สักสองสามวันก็กลับกรุงเทพฯ
มาอีกครั้งก็หวังจะมาดูผลงาน ความคืบหน้า ตามนโยบายที่เราให้ไว้
ผ่านมาเกือบเดือนถึงจะเริ่มเข้าใจ !
เราฝากงานมากมายไว้หนึ่งถึงห้ารายการเป็นอย่างน้อย มาอีกครั้ง ทำไมมันเสร็จแค่สองรายการ
เราก็เริ่ม "งงปนหงุดหงิด " ตามนิสัยผู้บริหารชั้นนำ
คืนนึงมีโอกาสดีเชิญ "ลุงมัน" แกมานั่งดริงค์เปิดใจคุยกัน ได้ความว่าแกเป็นคนเขมร..แกฟังเราพูดไม่รู้เรื่องหรอกเพราะเราพูดเร็ว ไทยคำ...อังกฤษสามคำ ตามสไตล์คนกรุงเทพฯที่นิยมกัน
แล้วแกก็มักจะตอบเราว่า "คับ ๆ ๆ ๆ" มาตลอดด้วยความเคยชินเหมือนกัน
เราเลยเปลี่ยนแนวไปสนทนากับ "ป้านาง" แทนที่...ได้ความต่อว่า
" ลุงแกฟังและพูดไทยได้นิดหน่อย ส่วนเรื่องอ่าน..เขียน ไม่ต้องพูดถึงเลย "
ไอ้เราก็เริ่มเครียดขึ้นมาทันทีเพราะเคยฝากให้ใส่ปุ๋ยตัวนู้นนี้ , ให้ยากระต่ายเท่านี้เท่านั้น !
" เฮ้ย ! มันจะรอดไหมเนี่ย ? "
แต่โชคดีที่แกไม่ได้ทำหรอก เพราะแกฟังไม่รู้เรื่อง..รอดตัวไปครั้ง..โอเค หันไปพึ่ง " ป้านาง " ดีกว่า
แกว่าแกจบ ป4 พออ่านออกแต่เขียนได้นิดหน่อย..เยี่ยม! แต่ปัญหาก็คือ
ความจำแกเสื่อม..จำอะไรไม่ได้เลย
เพราะสั่งปุ๊บ แกจะทำปั๊บ...เราเคยบอกว่า " แดดร่มแล้วค่อยทำก็ได้ "
ไม่เคยเอะใจใดๆ คิดในใจนะว่า " เอ่อ..ขยันดีนะ "
ที่จริงแกกลัวลืม..ก็เลยรีบทำเท่าที่จำได้ ( ไม่จดบันทึกหรอก )
ถ้าเรากลับ แกไม่รู้จำถามใครก็เลยไม่ทำดีกว่า
โทรศัพท์แกก็ไม่ค่อยใช้ ...ถึงใช้พูดกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอีก
เหมือนเราพูดอยู่คนเดียว..แกจะไม่ตอบอะไรเลยรู้สึกเหมือนสายหลุดตลอด
( แหมจะขานว่า ครับ ... คะ เป็นระยะๆบ้าง ก็ได้นะ + )
WOW ! ...นี้คือปัญหาผู้บริหารระดับสูงจริงๆเนี้ย "ทำไงดีวะ?" ไม่มีลูกน้องมาต่อยอดด้วย
" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน " อีกครั้งหนึ่ง
แต่หลังจากผ่านศึก งานช่างสิบหมู่..จนกระทั่งบ้านหลังนี้เสร็จได้..สภาพจิตมันแข็งแกร่งขึ้นเยอะ
เข้าใจโลก..รู้จักคำว่า " ปล่อยวาง " หรือ " ปลง " เหมือนกันไหมเนี่ย ?
พัฒนาจิตใจสูงขึ้นอีกระดับแล้ว ( ดีใจมาก ) , ไม่โกรธแล้ว-เข้าใจแล้ว
ต่อไปนี้จะพยายามเข้าใจให้เร็วกว่านี้ , ปรับตัวและสนุกกับปัญหาใหม่ๆ ( หลอกตัวเองหรือเนี๊ย ++ )
ขนาดคุยกับกระต่ายยังรู้เรื่อง...กะอีแค่คนเขมร...ขนม ๆ
หลังจากเสวนาเสร็จก็สรุปแนวทางการดำเนินการใหม่ดังนี้..เราจะมาบ่อยขึ้น และ ค่อยๆเรียนรู้เรื่องต่างๆไปด้วย..แต่ " ลุงมัน " ต้องสอนภาษาเขมรผม..( ไม่ยอมขาดทุนหรอก..คนกรุงเทพฯนี่ ) เผื่อวันหลังจะได้ใช้ภาษาเขมรเป็นบ้าง..หลังเปิด AEC ( มองการณ์ไกลอีกต่างหาก..ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันเลย )
บทเรียนแรก"ทักทายกันแบบ เขมรๆ"
เข้าใจบ้างไหมเนี่ย ?
ข้อสังเกตุ
ดูแกสองคนก็มีความสุขดีนะ..แต่ติดอยู่ที่ปัญหาสุขภาพพื้นฐาน ที่ดูจะทำให้แกทุกข์ร้อน เพราะสวัสดิการแบบไทยๆมั๊ง
การที่เรียนมาน้อยก็เลยไม่ถูกโปรแกรมว่า"อะไรอร่อย ไม่อร่อย , อะไรดี ไม่ดี..ฯลฯ " ก็เลยมีความสุขมั๊ง เพราะไม่มีการเปรียบเทียบอะไร ใดๆ ก็เลยไม่ดิ้นรนมาก
( ถ้าลองให้ทานอะไรแพงๆ..คงเปลี่ยนไปแหละ )
ขนาดกระต่ายมันยังรับรู้ได้เลย..เคยซื้ออาหารนอกให้กินตลอด พอมาอยู่ต่างจังหวัด
แรกๆให้กินหญ้าท้องถิ่น...ก็ทำเมินกัน ++ แต่สุดท้าย หิวก็ต้องกิน..อร่อยไปเองแหละ ( ทั้งสด..ไร้สารกันบูดแน่นอน ) ปัจจุบันลองให้อาหารนอก..ก็ไม่สนแล้วละ ++